เลซิติน (Lecithin)

ในปัจจุบัน ผู้บริโภคนิยมเลือกใช้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจากธรรมชาติ ทำให้ “ เลซิติน” เป็นอาหารเสริมที่ได้รับความสนใจจากผู้ที่เอาใจใส่ดูแลสุขภาพมากขึ้น เนื่องจากมีหลายงานวิจัย พบว่า สามารถช่วยบำรุงสมองและป้องกันโรคความจำเสื่อม รวมทั้งช่วยป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด จึงเป็นเรื่องน่าสนใจว่า “เลซิติน” คืออะไร และมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไรบ้าง

 

 

เลซิติน คืออะไร

            เลซิติน สามารถสกัดได้จากทั้งไข่แดงและถั่วเหลือง
แต่เลซิตินที่ได้จากถั่วเหลืองจะมีคุณภาพดีกว่า เพราะมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง
ทำให้เลซิตินที่สกัดจากถั่วเหลืองเป็นที่นิยมมากกว่า ซึ่งเลซิตินที่มีประสิทธิภาพสูงในการส่งเสริมสุขภาพนั้น
จะต้องให้  “ สารฟอสฟาทิดิลโคลีน (Phosphatidyl Choline)”
ในปริมาณสูง (มากกว่า 600 มก.)

ประโยชน์ของเลซิติน

เสริมสร้างระบบประสาทและสมอง

            จากสภาพสังคมปัจจุบัน พบว่า คนส่วนใหญ่ มีความเครียดสูง, หลงลืม, นอนไม่หลับ, อารมณ์เสียง่าย ซึ่งเป็นอาการเริ่มต้นของโรคเส้นประสาทเสื่อม และพบว่า สามารถบำบัดได้โดยการรับประทานเลซิติน  เพราะมี “สารโคลีน”  ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของสารสื่อนำประสาท ที่เรียกว่า “อะเซทธิลโคลีน (Acethyl Choline)” อันเป็นตัวกลางในการรับส่งข้อมูลระหว่างเซลล์ประสาท ทำให้เซลล์ประสาทมีการสื่อสารและสั่งงานกันไปเป็นทอดๆทั่วร่างกาย ทำให้อวัยวะต่างๆทำงานสัมพันธ์กันได้ตามที่สมองสั่งการ
            นอกจากนี้พบว่า โคลีนยังช่วยในการควบคุมปริมาณฮอร์โมนวาโสเพรสซิน (Vasopressin) ซึ่งจำเป็นต่อประสิทธิภาพในการเรียนรู้และจดจำ จากงานวิจัยของ อเดลล์ เดวิส (นักโภชนาการชาวสหรัฐอเมริกา) รายงานว่า ในร่างกายของคนสุขภาพดี จะมีสารเลซิตินอยู่ในสมองถึง 30% ของน้ำหนักสมองทั้งหมด และพบว่าผู้มีระดับโคลีนในร่างกายต่ำ มักมีอาการซึมเศร้า, จิตใจหดหู่, หลงลืม, และไม่มีสมาธิ
             ทางการแพทย์ในปัจจุบัน มีการใช้เลซิตินในการบำบัดและรักษา โรคทางประสาทและสมอง เช่น พาร์กินสัน, อัลไซเมอร์ ซึ่งพบว่า เมื่อคนไข้ได้รับ เลซิติน วันละ 2,500 มก. เป็นเวลา 6 เดือน จะช่วยให้ระบบความจำและการทำงานของสมองดีขึ้น

ลดคลอเลสเตอรอลและไขมันในเส้นเลือด

            เลซิตินช่วยลดการดูดซึมของคลอเลสเตอรอลในระบบทางเดินอาหาร และเป็นตัวทำละลายไขมันและคลอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ทำให้ไขมันแตกตัวเป็นอนุภาคเล็กๆไหลเวียนไปกับกระแสเลือด ขณะเดียวกันก็จะเข้าไปดึงไขมันที่ไม่ดี (LDL cholesterol) ออกไปจากร่างกาย ซึ่งเป็นการลดการอุดตันของไขมันบนผนังเส้นเลือด อันเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดและหัวใจตีบ             
            นอกจากนี้ ฟอสฟาทิดิลโคลีน ในเลซิติน ยังช่วยชะลอการสะสมไขมันในตับ ลดความเสี่ยงของภาวะไขมันพอกตับ และช่วยสลายนิ่วที่เกิดจากคลอเลสเตอรอลในถุงน้ำดี ได้อีกด้วย

ข้อแนะนำในการรับประทาน

  • ผู้ที่ต้องการบำรุงสมองและระบบประสาท วันละ 1,000 – 3,000 มก.
  • ผู้ที่ต้องการควบคุมระดับคลอเลสเตอรอล วันละ 1,000 – 3,000 มก.
  • ผู้ที่ต้องการบำรุงตับและไต วันละ 5,000  มก.
 

 

เลซิติน (Lecithin)

ในปัจจุบัน ผู้บริโภคนิยมเลือกใช้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจากธรรมชาติ ทำให้ “ เลซิติน” เป็นอาหารเสริมที่ได้รับความสนใจจากผู้ที่เอาใจใส่ดูแลสุขภาพมากขึ้น เนื่องจากมีหลายงานวิจัย พบว่า สามารถช่วยบำรุงสมองและป้องกันโรคความจำเสื่อม รวมทั้งช่วยป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด จึงเป็นเรื่องน่าสนใจว่า “เลซิติน” คืออะไร และมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไรบ้าง

เลซิติน คืออะไร

            เลซิติน สามารถสกัดได้จากทั้งไข่แดงและถั่วเหลือง แต่เลซิตินที่ได้จากถั่วเหลืองจะมีคุณภาพดีกว่า เพราะมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง ทำให้เลซิตินที่สกัดจากถั่วเหลืองเป็นที่นิยมมากกว่า ซึ่งเลซิตินที่มีประสิทธิภาพสูงในการส่งเสริมสุขภาพนั้น

จะต้องให้  “ สารฟอสฟาทิดิลโคลีน (Phosphatidyl Choline)”

ในปริมาณสูง (มากกว่า 600 มก.)

ประโยชน์ของเลซิติน

เสริมสร้างระบบประสาทและสมอง

            จากสภาพสังคมปัจจุบัน พบว่า คนส่วนใหญ่ มีความเครียดสูง, หลงลืม, นอนไม่หลับ, อารมณ์เสียง่าย ซึ่งเป็นอาการเริ่มต้นของโรคเส้นประสาทเสื่อม และพบว่า สามารถบำบัดได้โดยการรับประทานเลซิติน  เพราะมี “สารโคลีน”  ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของสารสื่อนำประสาท ที่เรียกว่า “อะเซทธิลโคลีน (Acethyl Choline)” อันเป็นตัวกลางในการรับส่งข้อมูลระหว่างเซลล์ประสาท ทำให้เซลล์ประสาทมีการสื่อสารและสั่งงานกันไปเป็นทอดๆทั่วร่างกาย ทำให้อวัยวะต่างๆทำงานสัมพันธ์กันได้ตามที่สมองสั่งการ
            นอกจากนี้พบว่า โคลีนยังช่วยในการควบคุมปริมาณฮอร์โมนวาโสเพรสซิน (Vasopressin) ซึ่งจำเป็นต่อประสิทธิภาพในการเรียนรู้และจดจำ จากงานวิจัยของ อเดลล์ เดวิส (นักโภชนาการชาวสหรัฐอเมริกา) รายงานว่า ในร่างกายของคนสุขภาพดี จะมีสารเลซิตินอยู่ในสมองถึง 30% ของน้ำหนักสมองทั้งหมด และพบว่าผู้มีระดับโคลีนในร่างกายต่ำ มักมีอาการซึมเศร้า, จิตใจหดหู่, หลงลืม, และไม่มีสมาธิ
             ทางการแพทย์ในปัจจุบัน มีการใช้เลซิตินในการบำบัดและรักษา โรคทางประสาทและสมอง เช่น พาร์กินสัน, อัลไซเมอร์ ซึ่งพบว่า เมื่อคนไข้ได้รับ เลซิติน วันละ 2,500 มก. เป็นเวลา 6 เดือน จะช่วยให้ระบบความจำและการทำงานของสมองดีขึ้น

ลดคลอเลสเตอรอลและไขมันในเส้นเลือด

            เลซิตินช่วยลดการดูดซึมของคลอเลสเตอรอลในระบบทางเดินอาหาร และเป็นตัวทำละลายไขมันและคลอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ทำให้ไขมันแตกตัวเป็นอนุภาคเล็กๆไหลเวียนไปกับกระแสเลือด ขณะเดียวกันก็จะเข้าไปดึงไขมันที่ไม่ดี (LDL cholesterol) ออกไปจากร่างกาย ซึ่งเป็นการลดการอุดตันของไขมันบนผนังเส้นเลือด อันเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดและหัวใจตีบ             
            นอกจากนี้ ฟอสฟาทิดิลโคลีน ในเลซิติน ยังช่วยชะลอการสะสมไขมันในตับ ลดความเสี่ยงของภาวะไขมันพอกตับ และช่วยสลายนิ่วที่เกิดจากคลอเลสเตอรอลในถุงน้ำดี ได้อีกด้วย

ข้อแนะนำในการรับประทาน

  • ผู้ที่ต้องการบำรุงสมองและระบบประสาท วันละ 1,000 – 3,000 มก.
  • ผู้ที่ต้องการควบคุมระดับคลอเลสเตอรอล วันละ 1,000 – 3,000 มก.
  • ผู้ที่ต้องการบำรุงตับและไต วันละ 5,000  มก.
 

เลซิติน (Lecithin)

ในปัจจุบัน ผู้บริโภคนิยมเลือกใช้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมจากธรรมชาติ ทำให้ “ เลซิติน” เป็นอาหารเสริมที่ได้รับความสนใจจากผู้ที่เอาใจใส่ดูแลสุขภาพมากขึ้น เนื่องจากมีหลายงานวิจัย พบว่า สามารถช่วยบำรุงสมองและป้องกันโรคความจำเสื่อม รวมทั้งช่วยป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด จึงเป็นเรื่องน่าสนใจว่า “เลซิติน” คืออะไร และมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไรบ้าง

เลซิติน คืออะไร

            เลซิติน สามารถสกัดได้จากทั้งไข่แดงและถั่วเหลือง แต่เลซิตินที่ได้จากถั่วเหลืองจะมีคุณภาพดีกว่า เพราะมีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง ทำให้เลซิตินที่สกัดจากถั่วเหลืองเป็นที่นิยมมากกว่า ซึ่งเลซิตินที่มีประสิทธิภาพสูงในการส่งเสริมสุขภาพนั้น
จะต้องให้  “ สารฟอสฟาทิดิลโคลีน (Phosphatidyl Choline)”
ในปริมาณสูง (มากกว่า 600 มก.)

ประโยชน์ของเลซิติน

เสริมสร้างระบบประสาทและสมอง
            จากสภาพสังคมปัจจุบัน พบว่า คนส่วนใหญ่ มีความเครียดสูง, หลงลืม, นอนไม่หลับ, อารมณ์เสียง่าย ซึ่งเป็นอาการเริ่มต้นของโรคเส้นประสาทเสื่อม และพบว่า สามารถบำบัดได้โดยการรับประทานเลซิติน  เพราะมี “สารโคลีน”  ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของสารสื่อนำประสาท ที่เรียกว่า “อะเซทธิลโคลีน (Acethyl Choline)” อันเป็นตัวกลางในการรับส่งข้อมูลระหว่างเซลล์ประสาท ทำให้เซลล์ประสาทมีการสื่อสารและสั่งงานกันไปเป็นทอดๆทั่วร่างกาย ทำให้อวัยวะต่างๆทำงานสัมพันธ์กันได้ตามที่สมองสั่งการ
            นอกจากนี้พบว่า โคลีนยังช่วยในการควบคุมปริมาณฮอร์โมนวาโสเพรสซิน (Vasopressin) ซึ่งจำเป็นต่อประสิทธิภาพในการเรียนรู้และจดจำ จากงานวิจัยของ อเดลล์ เดวิส (นักโภชนาการชาวสหรัฐอเมริกา) รายงานว่า ในร่างกายของคนสุขภาพดี จะมีสารเลซิตินอยู่ในสมองถึง 30% ของน้ำหนักสมองทั้งหมด และพบว่าผู้มีระดับโคลีนในร่างกายต่ำ มักมีอาการซึมเศร้า, จิตใจหดหู่, หลงลืม, และไม่มีสมาธิ
             ทางการแพทย์ในปัจจุบัน มีการใช้เลซิตินในการบำบัดและรักษา โรคทางประสาทและสมอง เช่น พาร์กินสัน, อัลไซเมอร์ ซึ่งพบว่า เมื่อคนไข้ได้รับ เลซิติน วันละ 2,500 มก. เป็นเวลา 6 เดือน จะช่วยให้ระบบความจำและการทำงานของสมองดีขึ้น
ลดคลอเลสเตอรอลและไขมันในเส้นเลือด
            เลซิตินช่วยลดการดูดซึมของคลอเลสเตอรอลในระบบทางเดินอาหาร และเป็นตัวทำละลายไขมันและคลอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ทำให้ไขมันแตกตัวเป็นอนุภาคเล็กๆไหลเวียนไปกับกระแสเลือด ขณะเดียวกันก็จะเข้าไปดึงไขมันที่ไม่ดี (LDL cholesterol) ออกไปจากร่างกาย ซึ่งเป็นการลดการอุดตันของไขมันบนผนังเส้นเลือด อันเป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดและหัวใจตีบ             
            นอกจากนี้ ฟอสฟาทิดิลโคลีน ในเลซิติน ยังช่วยชะลอการสะสมไขมันในตับ ลดความเสี่ยงของภาวะไขมันพอกตับ และช่วยสลายนิ่วที่เกิดจากคลอเลสเตอรอลในถุงน้ำดี ได้อีกด้วย
ข้อแนะนำในการรับประทาน
  • ผู้ที่ต้องการบำรุงสมองและระบบประสาท วันละ 1,000 – 3,000 มก.
  • ผู้ที่ต้องการควบคุมระดับคลอเลสเตอรอล วันละ 1,000 – 3,000 มก.
  • ผู้ที่ต้องการบำรุงตับและไต วันละ 5,000  มก.